การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เรื่องสัดส่วนกรรมการอิสระที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยทำการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของการจัดการกำไรในช่วงก่อนและหลังการบังคับใช้กฎเกณฑ์ของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบริษัทที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์อยู่แล้ว (Compliant Firms) และกลุ่มบริษัทที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์ (Noncompliant Firms) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรที่นำมาศึกษา รวมทั้งกระบวนการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และใช้รายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจผู้บริหารเป็นตัวแทนในการวัดค่าของการจัดการกำไร โดยเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจากรายงานการเงินของบริษัทจดทะเบียนในช่วงระหว่างปี 2550 - 2554 รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 305 บริษัท ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เรื่องสัดส่วนกรรมการอิสระ การจัดการกำไรในกลุ่มบริษัทที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์อยู่แล้ว แต่ผลการทดสอบบริษัทที่มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์และมีต้นทุนในการได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารต่ำ การศึกษาพบการเปลี่ยนแปลงของการจัดการกำไรเป็นไปในทิศทางที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ากฎเกณฑ์เรื่องสัดส่วนกรรมการอิสระนี้จะช่วยส่งผลให้การจัดการกำไรลดลงในกรณีที่บริษัทมีต้นทุนการได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารต่ำแต่ยังไม่มีผลในภาพรวม กล่าวคือ ไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของการจัดการกำไรของบริษัททั้งหมด

ธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการพัฒนาและส่งมอบซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจนั้น จำเป็นต้องรวดเร็วและคล่องตัวตามไปด้วย ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้ระเบียบวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบแอจไจล์มากขึ้น ซึ่งระเบียบวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบแอจไจล์มุ่งเน้นกระบวนการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก แต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงความต่อเนื่องและความเป็นอัตโนมัติด้านการส่งมอบระบบไปยังผู้ใช้งาน ในขณะที่แนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ DevOps ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาซอฟต์แวร์จนกระทั่งกระบวนการในการส่งมอบซอฟต์แวร์ รวมถึงเน้นย้ำการประสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารโครงการ ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ และทีมปฏิบัติการ แม้ว่าแนวคิด DevOps จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน แต่แนวคิดยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้งานแนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ DevOps อันประกอบด้วยมิติด้านโครงการ (ปัจจัยลักษณะของโครงการแบบแอจไจล์) และมิติด้านเทคนิค (ปัจจัยการมีเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่สนับสนุนการดำเนินงานตามแนวคิด DevOps) ที่ส่งผลต่อความเข้ากันได้ระหว่างงานกับเทคโนโลยี รวมถึงมิติด้านองค์กร (ปัจจัยการสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง) มิติด้านบุคคล (ปัจจัยการรับรู้ความสามารถของตนเอง และการรับรู้ประโยชน์) และมิติด้านกระบวนการ (ปัจจัยการใช้ระเบียบวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบแอจไจล์) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการรับรู้ประโยชน์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้งานแนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ DevOps มากที่สุด รองลงมาคือปัจจัยการรับรู้ความสามารถของตนเอง ความเข้ากันได้ระหว่างงานกับเทคโนโลยี และปัจจัยการสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง ตามลำดับ แต่ปัจจัยการใช้ระเบียบวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบแอจไจล์ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้งานแนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ DevOps

โครงการวิจัยในอดีตที่เกี่ยวกับคณะกรรมการตรวจสอบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้กำหนด ซึ่งจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของรายงานทางการเงิน ความรับผิดชอบของคณะกรรมการตรวจสอบต่อการรายงานข้อมูลทางการเงิน การเลือกใช้นโยบายทางบัญชีที่เหมาะสม การบริหารทางการเงินระบบการควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน การทำงานระหว่างกรรมการตรวจสอบกับผู้สอบบัญชี เป็นต้น ซึ่งยังไม่มีหัวข้อใดที่เกี่ยวกับด้านกลยุทธ์บริษัทเลย โครงการวิจัยเรื่องนี้ จึงเห็นความจำเป็นที่ต้องมีการศึกษาถึงบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การศึกษานี้ใช้การออกแบบตัดขวางซึ่งเป็นรูปแบบที่โดดเด่นที่สุดในสังคมศาสตร์ การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยนี้ ใช้แบบสอบถามที่ส่งทางไปรษณีย์ โดยได้ส่งแบบสอบถามออกไปยังบริษัทจำนวน 452 บริษัท ครอบคลุมทั้ง 8 หมวดที่แบ่งโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คิดเป็นอัตราตอบกลับที่ใช้ประมวลผล 12.83% จากผลการวิจัยในเรื่องบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทในประเทศไทยสามารถ สรุปผลที่สำคัญถึงบทบาทการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับกลยุทธ์บริษัทโดยรวมที่ได้ปฏิบัติจริงภายใต้หัวข้อการดำเนินงานทั้งสิ้น 6 หัวข้อ กรรมการตรวจสอบประเมินโดยรวมแล้วมีค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดอยู่ที่ 3.32 ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเห็นด้วยปานกลางที่มีการปฏิบัติจริง ส่วนการดำเนินงานทางด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทของคณะกรรมการตรวจสอบสามารถสรุปผลที่สำคัญภายใต้หัวข้อการดำเนินงานทั้งสิ้น 7 หัวข้อ กรรมการตรวจสอบประเมินโดยรวมแล้วมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.25 ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเห็นด้วยปานกลางที่มีการปฏิบัติจริง ประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ของงานวิจัยนี้คือช่วยให้ผู้บริหารและคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มความสนใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทในแต่ละหัวข้อของงานวิจัย สำหรับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถใช้เป็นแนวคิดในการเพิ่มความรู้ความเข้าใจกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบในการมีส่วนร่วมในบทบาทของการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จด้วย โดยเฉพาะด้านการกำหนดกลยุทธ์หรือการวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งอาจรวมถึง การออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมดูแลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในด้านการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จ และสำหรับผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถใช้ผลการวิจัยนี้เป็นแนวทางในการเลือกลงทุนกับบริษัทที่คณะกรรมการตรวจสอบมีส่วนร่วมในบทบาทของการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเลือกบริษัทที่มีคณะกรรมการตรวจสอบให้ความใส่ใจในตรวจดูหรือตรวจสอบการดำเนินงานที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัท และสุดท้าย สำหรับนักวิชาการที่สนใจศึกษาบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถใช้ผลการวิจัยนี้เป็นข้อมูลทางวิชาการสำหรับประกอบการศึกษาและค้นคว้าต่อเนื่อง ในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินงานคณะกรรมการตรวจสอบในด้านการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จในประเทศไทยในอนาคต